บทความเรื่อง 8 กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
การสอนภาษาสำหรับเด็กเล็กให้เป็นเรื่องสนุกพร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ภาษานั้น ต้องทำกิจกรรมให้
เป็นเรื่องท้าทายความสามารถของเด็ก และต้องไม่ยากเกินความสามารถที่เขาจะทำเองได้ แต่ก็ต้องมีผู้ใหญ่คอย
ช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ที่สำคัญกิจกรรมต้องมีหลากหลาย เพื่อตอบสนองความแตกต่างของเด็ก ๆ
1. เรื่องเล่าเช้านี้ (Morning Message)
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้สนทนากันตอนเช้าระหว่างคุณครูกับเด็ก และระหว่างกับเด็กด้วยกัน เพราะ
โดยธรรมชาติของเด็ก ๆ แล้ว มีเรื่องมากมายที่อยากจะเล่าให้คุณครูฟัง ดังนั้นเวลาในช่วงเช้าก่อนเริ่มต้นกิจกรรม
อื่น ๆ เปิดเวทีสำหรับการพูดคุย โดยอาจจะเป็นหัวข้อใกล้ตัว เช่น ของที่เด็กๆ นำมา วันพิเศษ เหตุการณ์พิเศษใน
โรงเรียน เทศกาลต่างๆ หรือครูอาจจะกำหนดหัวข้อล่วงหน้ากับเด็ก ๆ ไว้ก่อน เพราะเขาจะได้มีเวลาหาข้อมูล
อาจจะถามผู้ปกครอง หรือทดลองทำดู เพราะเวลาที่เด็ก ๆ เล่าเรื่องเขาจะกลายเป็นศาสตราจารย์ตัวน้อย
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องที่ตัวเองพูด
เด็ก ๆ จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อน ฝึกการใช้ภาษาหาข้อมูล
และที่สำคัญการสนทนาทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้การใช้ภาษาที่ถูกต้องจากคุณครูด้วย และควรสอนมารยาทในการเป็น
ผู้ฟังและผู้พูดที่ดีให้เจ้าตัวน้อยทั้งหลายด้วย
2. อยากจะอ่านดังดัง (Reading Aloud)
คุณครูเลือกหนังสือภาพสำหรับเด็กดี ๆ ที่เด็ก ๆ สนใจสักเล่ม แล้วจัดเวลาสำหรับการอ่านออกเสียงให้
เด็ก ๆ เป็นประจำ เพราะช่วงเวลานี้เด็ก ๆ จะมีความสุขและรู้สึกดีต่อการอ่าน รวมทั้งกับตัวครูด้วยจัดเด็กเป็น
กลุ่มเล็ก ๆ โดยก่อนที่จะอ่านเนื้อเรื่อง คุณครูควรแนะนำให้เด็ก ๆ รู้จักชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้แปล ผู้วาดภาพประกอบ
และควรชี้นิ้วตามไปด้วยเวลาอ่าน หรืออาจจะถามคำถามให้เด็ก ๆ คิด หรือเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า
หลังจากเล่านิทานจบแล้ว คุณครูควรจัดกิจกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวกับนิทานเรื่องที่เล่า เพื่อให้เด็ก ๆ
ได้ทบทวนเนื้อเรื่อง และได้ทำกิจกรรมตามความสนใจ เช่นเตรียมภาพให้เด็กเรียงลำดับเรื่องราว หรือเตรียม
สิ่งของที่มีอยู่ในนิทานเพื่อให้เด็ก ๆ ได้เล่น ในกิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ และสามารถ
คาดคะเนได้อีกด้วย
3. หนูเล่าอีกครั้ง (Story Retelling)
หลังจากที่นิทานเรื่องสนุกจบลงอย่างมีความสุข ลองให้เด็ก ๆ ได้เล่านิทานกลับมาให้คุณครูและเพื่อน ๆ
ฟัง บ้าง แต่ก่อนที่จะให้เด็กเล่าคุณครูต้องใช้คำถามกระตุ้นให้เด็ก ๆ จับใจความสำคัญ และเป็นตัวอย่างให้เด็กๆ
ก่อน หรือเวลาที่ครูเล่าอาจจะถามคำถามให้เด็ก ๆ ได้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตนเอง ถามคำถามให้เด็ก ๆ เดา
เรื่องล่วงหน้า ตีความ และพอเล่าจบก็ทบทวนเนื้อเรื่องอีกครั้งด้วยการทำแผนผังนิทาน กล่องนิทาน ภาพตัดต่อ
นิทาน เป็นต้น เด็ก ๆ จะเกิดแรงจูงใจในการเรียนและได้ลงมือทำในเรื่องที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
4. อ่านด้วยกันนะ (Shared Reading)
หนังสือภาพขนาดใหญ่หรือ Big Book จะเนรมิตความมหัศจรรย์ทางภาษาสำหรับเด็ก ๆ เพียงแค่คุณครู
ชวนเด็ก ๆ พูดคุยเรื่องที่จะนำมาเล่า เพื่อให้เจ้าตัวเล็กสนใจ และมีความรู้พื้นฐานก่อนฟัง จากนั้นจึงอ่านหนังสือให้
เด็ก ๆ ฟังทั้งเรื่อง ชี้คำไปด้วย เพื่อให้เด็ก ๆ คุ้นเคยกับตัวหนังสือ คำ ข้อความ เมื่อเด็ก ๆ เริ่มคุ้นเคยคุณครูก็ปิด
ข้อความ ปิดคำ แล้วให้เด็ก ๆ ทาย หรือทำบัตรคำให้เด็ก ๆ ไปหาคำนี้ในหนังสือก็ได้
เด็ก ๆ จะเรียนรู้ว่าคำและข้อความไม่ใช่รูปภาพ และหลังจากอ่านจบก็ทำกิจกรรมสื่อภาษากันใน
ห้องเช่น ทำหนังสือนิทาน แสดงละคร หรือเกมภาษาเช่น หาชื่อตัวละคร การพูดตามเครื่องหมายวรรคตอน เป็น
ต้น
5. อ่านตามใจหนู (Independent Reading)
นอกจากหนังสือนิทานภาพสวย ๆ แล้ว ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่สามารถให้เด็ก ๆ ได้อ่านอีกมากมาย เช่น ป้าย
ข้อตกลงในห้อง ปฏิทิน รายการอาหาร คำขวัญ คำคล้องจอง ชื่อต้นไม้ ป้ายวันเกิดเพื่อน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็ก ๆ
ก็สนใจที่อยากจะอ่านเหมือนกัน และคุณครูควรทำบันทึกการอ่านของเด็ก โดยให้เล่าเรื่องที่ตนเองอ่านให้เพื่อน ๆ
และคุณครูฟัง คุณครูก็ช่วยเขียนลงสมุดบันทึกและให้เด็ก ๆ เขียนสิ่งที่ตนเองอ่านไปด้วย
6. หนูอยากอ่านเอง (Sustained Silent Reading)
คราวนี้แหละที่เจ้าตัวยุ่งทั้งหลายจะนิ่งทันที เพราะเราจะให้เขาได้เลือกอ่านตามใจชอบ จะหยิบอะไร จะ
อ่านอะไรไม่ว่ากัน และที่สำคัญอ่านเสร็จแล้วไม่ต้องให้เด็ก ๆ ทำงานนะ เพราะเขาจะได้เกิดความรู้สึกอยากอ่าน
อย่างเต็มที่ เวลาอ่านเด็ก ๆ อาจจะพึมพำไปบ้าง พูดบ้าง ก็ปล่อยพวกเขาตามสบาย แต่คุณครูต้องเลือกหนังสือ
มาอ่านให้เป็นตัวอย่างของเด็ก ๆ ด้วยนะ
7. เขียนด้วยกันนะ (Shared Writing)
คราวนี้คุณครูมาชวนเด็ก ๆ เขียนด้วยการพูดคุยกันเรื่องในชีวิตประจำวัน ครูต้องเป็นผู้เริ่มเขียนโดยให้
เด็ก ๆ บอกสิ่งที่ต้องการเขียนเป็นข้อความสั้น ๆ เหมาะที่จะเขียน เด็ก ๆ จะเห็นวิธีการเปลี่ยนความคิดมาเป็น
ข้อความ เห็นลีลามือที่ถูกต้องสวยงาม และควรให้เด็ก ๆ บอกให้ครูเขียนเป็นระยะ กิจกรรมนี้จะทำให้เด็ก ๆ เกิด
ทัศนคติที่ดีต่อการเขียน รู้จักตัดสินใจแสดงความคิดเป็นตัวอักษร
คุณครูอาจจะเขียน แบบสำรวจเด็กมาโรงเรียน กิจกรรมประกาศข่าว เมื่อช่วยกันเขียนเสร็จแล้ว ครู
ควรอ่านให้เด็กฟังอีกครั้ง กิจกรรมนี้คุณครูควรเป็นคนเขียนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ วิจารณ์เพื่อน ๆ
8. หนูอยากเขียนเอง (Independent Writing)
เด็ก ๆ จะได้ลงมือเขียนเองสักที โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เขียนเพื่อสื่อความหมายตามความสนใจโดยให้
พวกเขาทำกิจกรรมและเขียนถ่ายทอดผลงานความคิดออกมา เช่นผลงานต่อบล็อก การบันทึกชื่อนิทานที่อ่าน
หรือเขียนประกอบบทบาทสมมติ ที่คุณหมอเขียนใบสั่งยา บริกรเขียนรายการอาหาร หรือคุณครูอาจจะเตรียม
กิจกรรมให้สอดคล้องกับบทเรียน โดยใช้เนื้อหาการเรียนมาบูรณาการกับการเขียน เช่น เขียนชื่อผลงานการ พิมพ์
ภาพอวัยวะต่างๆ ในหน่วยร่างกายของเรา
นอกจากกิจกรรมทั้ง 8 วิธีแล้ว การที่คุณครูจัดห้องเรียนให้ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษา ก็จะช่วยคุณครูได้
อีกมากทีเดียว ลองดูสิว่าในห้องคุณครูมีครบ 4 หัวข้อนี้ไหม
1.วรรณกรรมสำหรับเด็ก ต้องมีหลายประเภททั้งนิทาน
ชาดก นิทานอธิบายเหตุการณ์ นิทานพื้นบ้าน ตำนาน
เทพนิยาย เรื่องราวประวัติศาสตร์ ชีวประวัติบุคคล
หนังสือคำกลอน ที่สำคัญหนังสือภาพที่ไม่มีตัวอักษร
2. ของที่ใช้อ้างอิงได้ เป็นต้นว่า สารานุกรมภาพสำหรับเด็ก
พจนานุกรมเล่มเล็ก แผนที่ บัญชีคำศัพท์
3.นิตยสารสำหรับเด็ก เพราะให้ข้อมูลที่
ทันสมัย ฉับไวต่อเหตุการณ์ ใน
เมืองไทยอาจจะยังมีน้อยหรือแฝงอยู่กับ
นิตยสารผู้หญิง คุณครูสามารถเลือกตัด
มาเป็นตอน ๆ ให้เด็ก ๆ ก็ได้
4. เครื่องเขียนนานา ทั้งกระดาษมากมาย
หลายแบบ หลายสี หลายขนาด ดินสอ
ปากกา ตรายาง สีไม้ สีเทียน สีน้ำ เรียกว่า
นึกอะไรออกเตรียมไว้ให้เด็ก ๆ ได้หยิบมา
ใช้งานสะดวก ๆ ด้วยตนเองได้ด้วย
เพียงเท่านี้เด็ก ๆ ทั้งหลายก็จะกลายเป็นเด็กมหัศจรรย์ เพราะได้เรียนรู้ภาษาอย่างสร้างสรรค์
เหมาะสมกับวัย และความสนใจของเขา ในโลกแห่งการเรียนรู้ปัจจุบันอย่างแท้จริง